Newtree ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามจากคอลลาเจน เผยผลประกอบการไตรมาส 3 มีกำไรจากการดำเนินงานสะสม 7.2 พันล้านวอน
- Manage
- 9 มี.ค.
- ยาว 1 นาที
บริษัท Newtree ซึ่งเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเพื่อความงามจากภายใน ประกาศเมื่อวันที่ 14 ว่ามีกำไรจากการดำเนินงานรวมสะสมในไตรมาสที่ 3 จำนวน 7.2 พันล้านวอน และกำไรสุทธิ 6.5 พันล้านวอน ซึ่งเพิ่มขึ้น 189% และ 223% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 99.6 พันล้านวอน
Newtree ยังคงรักษาผลประกอบการที่มั่นคงจากยอดขายต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Evercollagen อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้ที่ใช้จ่ายได้ของผู้บริโภคลดลง และอัตราการรับชมโทรทัศน์ลดลง ทำให้คาดว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของโฮมช้อปปิ้งจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เพื่อบริหาร "ความสามารถในการทำกำไร" บริษัทจึงตัดสินใจลดจำนวนครั้งของการออกอากาศทางโฮมช้อปปิ้งลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่ายอดขายจากช่องทางนี้จะลดลง แต่บริษัทชี้แจงว่าเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่ช่วยเพิ่มผลกำไรได้
Newtree กำลังขยายส่วนแบ่งการตลาด (M/S) โดยอาศัยมูลค่าแบรนด์ที่สั่งสมมาผ่านช่องทางจำหน่ายออนไลน์ นอกจากนี้ บริษัทกำลังมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านการตลาดและโปรโมชั่นในช่องทางออฟไลน์ เช่น Olive Young เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ายอดขายผ่านช่องทาง Olive Young ในปี 2025 จะเติบโตขึ้น 1,200% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเริ่มแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต Nutri กำลังก้าวเข้าสู่หมวดหมู่ใหม่ เช่น โอเมก้า 3 และซูเปอร์ฟู้ด (Lupini Bean) โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และเร่งการลงทุนด้านการตลาดในไตรมาสที่ 3 เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งขยายตลาดต่างประเทศโดยเริ่มจากมาเลเซีย
ตัวแทนของ Newtree กล่าวว่า "เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงดำเนินต่อไป Newtree จึงกำหนดให้ปี 2024 เป็นปีแห่งการขยายธุรกิจระดับโลก และกำลังเร่งรัดการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ" พร้อมระบุว่า "ขณะนี้เราได้ขยายตลาดไปยังมาเลเซียและไทยแล้ว และคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป"
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการรวมของไตรมาสที่ 3 ได้รับผลกระทบอย่างมากจากความผันผวนของราคาหุ้นของบริษัทที่ Lakewood Partners ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Newtree ได้ลงทุนไว้ โดยราคาหุ้นดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 393,000 วอน ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 แต่ลดลงเหลือ 266,500 วอน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากการประเมินมูลค่าการลงทุน 7.16 พันล้านวอน
